ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตายิ่ง
คำนำ
แท้จริงมวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ เราขอสรรเสริญพระองค์ ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ขออภัยโทษจากพระองค์ และขอทางนำจากพระองค์ และเราขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากความชั่วจากตัวของเรา และจากความผิดบาปจากการกระทำของเรา ผู้ใดที่พระองค์ทรงนำทางเขา จะไม่มีผู้ใดที่ทำให้เขาหลงทาง และใครที่พระองค์ทรงทำให้เขาหลง จะไม่มีผู้ใดนำทางแก่เขา และฉันขอปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงพรองค์เดียว ไม่มีภาคีใดต่อพระองค์ และฉันขอปฏิญาณตนว่า มุฮัมมัด เป็นบ่าว และศาสนทูตของพระองค์ ขออัลลอฮฺได้ทรงประสาทพรแก่ท่าน แก่วงศ์วานของท่าน และสาวกของท่าน และหลังจากนั้น
แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงสร้างมนุษย์มาเพื่อจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ การเคารพสักการะต่อพระองค์เพียงองค์เดียว โดยไม่ตั้งภาคีใดต่อพระองค์ อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า
﴿وَمَا خَلَقۡتُ ٱلۡجِنَّ وَٱلۡإِنسَ إِلَّا لِيَعۡبُدُونِ مَآ أُرِيدُ مِنۡهُم مِّن رِّزۡقٖ وَمَآ أُرِيدُ أَن يُطۡعِمُونِ ﴾ (الذاريات :56-57)
“และข้าไม่ได้สร้างญิน และมนุษย์ เว้นแต่เพื่อการอิบาดะฮฺต่อข้า ข้าไม่ต้องการปัจจัยยังชีพจากพวกเขา และข้าไม่ต้องการให้พวกเขาให้อาหารแก่ข้า” (อัซซาริยาตฺ: 56-57)
ดังนั้น มนุษย์จึงถูกสร้างมายังโลกนี้ พร้อมกับหน้าที่และการงานที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว เขาไม่ได้ถูกสร้างมาอย่างไร้จุดประสงค์ อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า
﴿أَفَحَسِبۡتُمۡ أَنَّمَا خَلَقۡنَٰكُمۡ عَبَثٗا وَأَنَّكُمۡ إِلَيۡنَا لَا تُرۡجَعُونَ ﴾ (المؤمنون :115)
“พวกเจ้าคิดหรือว่า เราได้สร้างพวกเจ้ามาอย่างไร้จุดประสงค์ และพวกเจ้าจะไม่ถูกนำกลับมายังเรากระนั้นหรือ” (อัลมุอฺมิมูน : 115)
อัลลอฮฺยังทรงกล่าวอีกว่า
﴿أَيَحۡسَبُ ٱلۡإِنسَٰنُ أَن يُتۡرَكَ سُدًى ﴾ (القيامة :36)
“มนุษย์คิดหรือว่า เขาจะถูกปล่อยไว้โดยไร้จุดมุ่งหมาย (คือไม่ถูกสั่งใช้ หรือสั่งห้าม)” (อัลกิยามะฮฺ : 36)
และเพื่อเป็นไปตามจุดประสงค์นี้ อัลลอฮฺทรงส่งบรรดาศาสนทูต และทรงประทานคัมภีร์ต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า
﴿وَلَقَدۡ بَعَثۡنَا فِي كُلِّ أُمَّةٖ رَّسُولًا أَنِ ٱعۡبُدُواْ ٱللَّهَ وَٱجۡتَنِبُواْ ٱلطَّٰغُوتَۖ ﴾ (النحل :36)
“และแน่แท้ เราได้แต่งตั้งในทุกประชาชาติ ซึ่งศาสนทูต (โดยสั่งใช้พวกเขาว่า) พวกท่านทั้งหลายจงเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ และออกห่างจากพระเจ้าจอมปลอมทั้งหลาย” (อันนะฮฺลฺ : 36)
และอัลลอฮฺได้ทรงกำหนดให้ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม ) เป็นศาสทูตองค์สุดท้าย เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงทำให้สิ่งที่ท่านนำมาเป็นสาส์นสุดท้าย ที่มายังมนุษยชาติ นั้นคือ อิสลาม ซึ่งสาส์นทั้งหลายที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานมานั้น ต่างเรียกร้องมนุษยชาติไปสู่การทำความดี ละทิ้งจากการทำชั่ว ดังที่อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า
﴿وَجَعَلۡنَٰهُمۡ أَئِمَّةٗ يَهۡدُونَ بِأَمۡرِنَا وَأَوۡحَيۡنَآ إِلَيۡهِمۡ فِعۡلَ ٱلۡخَيۡرَٰتِ وَإِقَامَ ٱلصَّلَوٰةِ وَإِيتَآءَ ٱلزَّكَوٰةِۖ وَكَانُواْ لَنَا عَٰبِدِينَ ﴾ (الأنبياء :73)
“และเราได้วะฮียฺแก่พวกเขาให้ปฏิบัติความดี และดำรงการละหมาด และจ่ายซะกาต และพวกเขาได้เป็นผู้เคารพภักดีต่อเรา” (อัลอัมบิยาอฺ : 73)
เนื่องจากศาสนาอิสลาม ที่ท่านศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม)ได้นำมาเป็นบทบัญญัติสุดท้าย ที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานแก่มนุษยชาติทั้งมวล ตั้งแต่วันที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) ได้ถูกแต่งตั้งจนถึงวันกิยามะฮฺ อัลลอฮฺจึงทรงสร้างมันไว้บนพื้นฐานของการงานที่มีเกียรติ และจริยธรรมที่สูงส่ง และบทบัญญัติอิสลามเป็นบทบัญญัติที่ผ่อนปรน สอดคล้องกับธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ ในทุก ๆ เวลา และสถานที่ เป็นศาสนาที่ปรารถนาในทุกความดี อนุมัติในทุกสิ่งที่ดีงาม ยับยั้งและห้ามปราบจากสิ่งที่จะนำมนุษย์ไปสู่ความชั่ว และอันตรายต่าง ๆ ที่เป็นโทษต่อตัวเขาเองทั้งในศาสนกิจและดุนยาของเขา ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวนี้ เป็นสิ่งที่นำพามนุษย์ไปสู่ความผาสุก และการมีชีวิตที่ดีในดุนยา และหลังจากที่เขาได้เสียชีวิตไปเขาจะได้รับความผาสุก และชัยชนะอันสมบูรณ์ และเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือความพอพระทัยของอัลลอฮฺ และสรวงสวรรค์ของพระองค์ในโลกอาคิเราะฮฺ
และผู้ใดก็ตามที่เขาได้พิจารณาอย่างตั้งใจ ต่อศาสนาที่ยิ่งใหญ่ซึ่งถูกประทานมาจากผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้ยิ่งนี้ จะพบว่าอิสลามตั้งอยู่บนความหมายที่สูงส่ง และจุดมุ่งหมายที่ดีงาม และอัลลอฮฺได้ทรงประทานอิสลาม เพื่อความผาสุกของมนุษยชาติในโลกนี้ และโลกหน้า และจะปฏิเสธได้อย่างไร ในเมื่ออัลลอฮฺได้ทรงกล่าวถึงศาสนทูตของพระองค์ว่า
﴿ٱلَّذِينَ يَتَّبِعُونَ ٱلرَّسُولَ ٱلنَّبِيَّ ٱلۡأُمِّيَّ ٱلَّذِي يَجِدُونَهُۥ مَكۡتُوبًا عِندَهُمۡ فِي ٱلتَّوۡرَىٰةِ وَٱلۡإِنجِيلِ يَأۡمُرُهُم بِٱلۡمَعۡرُوفِ وَيَنۡهَىٰهُمۡ عَنِ ٱلۡمُنكَرِ وَيُحِلُّ لَهُمُ ٱلطَّيِّبَٰتِ وَيُحَرِّمُ عَلَيۡهِمُ ٱلۡخَبَٰٓئِثَ وَيَضَعُ عَنۡهُمۡ إِصۡرَهُمۡ وَٱلۡأَغۡلَٰلَ ٱلَّتِي كَانَتۡ عَلَيۡهِمۡۚ فَٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ بِهِۦ وَعَزَّرُوهُ وَنَصَرُوهُ وَٱتَّبَعُواْ ٱلنُّورَ ٱلَّذِيٓ أُنزِلَ مَعَهُۥٓ أُوْلَٰٓئِكَ هُمُ ٱلۡمُفۡلِحُونَ ﴾ (الأعراف :157)
“บรรดาผู้ซึ่งปฏิบัติตามศาสทูต (ท่านศาสดามุฮัมมัด) ผู้ซึ่งอ่านหนังสือไม่ได้ ที่พวกเขา (ชาวยิวและชาวคริสต์) ได้พบเขา (ท่านศาสดามุฮัมมัด) ถูกบันทึกไว้ ณ ที่พวกเขา ใน เตารอต และใน อินญีล โดยที่เขา (ท่านศาสดามุฮัมมัด) จะใช้พวกเขาให้กระทำในสิ่งที่ดี และห้ามพวกเขาจากสิ่งชั่ว และจะอนุมัติให้แก่พวกเขาซึ่งสิ่งดี ๆ ทั้งหลาย และจะสั่งห้ามพวกเขาซึ่งสิ่งที่เลวทรามทั้งปวง และปลดเปลื้องจากพวกเขา จากภาระอันหนักอึ้ง และห่วงที่คล้องอยู่บนคอของพวกเขา (บทบัญญัติที่ยากลำบาก) ดังนั้นบรรดาผู้ซึ่งศรัทธาต่อเขา และให้ความสำคัญแก่เขา และได้ช่วยเหลือเขา และได้ปฏิบัติตามแสงสว่าง(อัลกุรอาน) ซึ่งได้ถูกประทานมาพร้อมกับเขา พวกเขาเหล่านี้คือบรรดาผู้ที่ได้รับความสำเร็จ” (อัลอะรอฟ : 157)
และพระองค์ทรงกล่าวว่า
﴿ فَمَنِ ٱتَّبَعَ هُدَايَ فَلَا يَضِلُّ وَلَا يَشۡقَىٰ ﴾ (طه :123)
“และใครที่ปฏิบัติตามทางนำของข้า เขาจะไม่หลงทาง และเขาจะไม่ลำบาก” (ตอฮา : 123)
และพระองค์ทรงกล่าวว่า
﴿يُرِيدُ ٱللَّهُ بِكُمُ ٱلۡيُسۡرَ وَلَا يُرِيدُ بِكُمُ ٱلۡعُسۡرَ﴾ (البقرة :185)
“อัลลอฮฺทรงประสงค์ให้พวกท่านได้รับความง่าย และพระองค์ไม่ประสงค์ที่จะให้พวกท่านต้องลำบาก” (อัลบะกอเราะฮฺ : 185)
และพระองค์ยังทรงกล่าวอีกว่า
﴿ وَمَا جَعَلَ عَلَيۡكُمۡ فِي ٱلدِّينِ مِنۡ حَرَجٖۚ ﴾ (الحج :78)
“และพระองค์ไม่ทรงทำให้พวกท่านต้องลำบากในเรื่องศาสนา” (อัลอัจย์ : 78)
และท่านศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวว่า
«إنما بعثت لأتمم مكارم الأخلاق» أخرجه البيهقي في سننه وابن عبد البر في التمهيد، وصححه الألباني في السلسلة الصحيحة.
“ฉันได้ถูกแต่งตั้งมาเพื่อให้ความสมบูรณ์แก่จริยธรรมอันสูงส่ง”
และท่านศาสดา(ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวว่า
«إنه لم يكن نبي قبلي إلا كان حقا عليه أن يدل أمته على خير ما يعلمه لهم وينذرهم من شر ما يعلمه لهم» أخرجه مسلم.
“แท้จริงไม่มีศาสดาคนใดก่อนหน้าฉัน เว้นแต่จะมีหน้าที่บอกสิ่งที่ดีที่ท่านรู้ต่อประชาชาติของท่าน และเตือนพวกเขาจากสิ่งไม่ดีที่ท่านรู้”
จะปฏิเสธได้อย่างไร ในเมื่อท่านศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) เป็นผู้ที่บรรลุถึงจุดสูงสุดของการมีจริยธรรมอันดีงาม ละเว้นจากสิ่งชั่วร้าย ความบริสุทธิ์ และความผ่อนปรน พร้อมกับความสมบูรณ์ในด้านการทำอิบาดะฮฺ ความนอบน้อมถ่อมตน และยอมจำนนต่ออัลลอฮฺตะอาลา และพระผู้อภิบาลของท่านยังได้เป็นพยานต่อท่าน ดังที่พระองค์ทรงได้กล่าวว่า
﴿وَإِنَّكَ لَعَلَىٰ خُلُقٍ عَظِيمٖ ﴾ (القلم :4)
“และแท้จริงเจ้า (มุฮัมมัด) ได้อยู่บนจริยธรรมอันสูงส่ง”(อัลกอลัม : 4)
หลังจากนั้น อัลลอฮฺได้ทรงสั่งใช้พวกเราให้ปฏิบัติ และเจริญรอยตามท่านศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) โดยที่พระองค์ได้ทรงกล่าวว่า
﴿لَّقَدۡ كَانَ لَكُمۡ فِي رَسُولِ ٱللَّهِ أُسۡوَةٌ حَسَنَةٞ لِّمَن كَانَ يَرۡجُواْ ٱللَّهَ وَٱلۡيَوۡمَ ٱلۡأٓخِرَ﴾ (الأحزاب :21)
“แน่แท้ได้มีในศาสนทูต ซึ่งแบบอย่างอันดีงาม สำหรับพวกเจ้า สำหรับผู้ที่หวัง( ที่จะพบ) อัลลอฮฺ และวันอาคิเราะฮฺ” (อัลอะหฺซาบ : 21 )
ดังนั้น อิสลามจึงเป็นความเมตตากรุณาที่สมบูรณ์แก่มนุษยชาติ ทั้งยังเป็นความโปรดปรานที่ครบถ้วนแก่พวกเขาในทุกด้าน ด้านหนึ่ง ได้สั่งใช้ให้เชื่อฟัง ปฏิบัติคุณงามความดี และห้ามปรามจากความชั่วร้ายและการฝ่าฝืน และอีกด้านหนึ่งกำหนดให้เจริญรอยตาม แบบฉบับของผู้ซึ่งมีความสมบูรณ์ทั้งคุณลักษณะ และคุณสมบัติ นั่นคือนายแห่งมนุษยชาติ ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) สิ่งเหล่านี้จึงทำให้ศาสนาอิสลาม ด้วยความโปรดปรานของอัลลอฮฺ เป็นศาสนาที่สมบูรณ์พร้อมในทุกด้าน เป็นศาสนาที่รวมทุกความดีในทุก ๆ เรื่อง ห่างไกลจากความชั่วร้ายทั้งหลาย เป็นศูนย์รวมบทบัญญัติทุกบทบัญญัติที่ผ่านมาของอัลลอฮฺ และความเมตตา ความโปรดปรานของพระองค์
แท้จริงการรู้ถึงความประเสริฐของอิสลาม ในด้านต่าง ๆ เป็นสิ่งเพิ่มพูนความยึดมั่น ความรัก ในศาสนา และส่งเสริมให้มีการดำรงอยู่ในแนวทางอันเที่ยงตรงของอิสลาม
และยังสร้างความยอมรับ ต่อบรรดาผู้ที่หันเหออกจากแนวทางอิสลาม และได้เปิดประตูที่ยิ่งใหญ่ในการทำให้พวกเขาพอใจต่อมัน เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับทางนำ และเข้ารับอิสลาม ซึ่งจะทำให้พวกเขาได้รับความสันติ และเพิ่มพูนทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ
และอิบนุส สะกัน ได้รายงานด้วยสายรายงานของท่านว่า แท้จริง อักษัม อิบนุ ซอยฟียฺ เมื่อได้ทราบข่าวว่าถึงการปรากฏตัวของท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) และต้องการที่จะไปพบท่าน แต่กลุ่มชนของเขาได้รั้งเขาไว้ โดยได้กล่าวว่า ท่านเป็นผู้อาวุโสของพวกเรา ท่านไม่ควรที่จะลดฐานะไปพบเขา อักษัมจึงได้กล่าวว่า “เช่นนั้น จงแต่งตั้งผู้ที่จะไปบอกเขา (มุฮัมมัด) เกี่ยวกับตัวฉัน และกลับมาบอกฉันเกี่ยวกับตัวของเขา” อิบนุส สะกัน ได้กล่าวต่อไปว่า เขาจึงได้เลือกชายสองคนไปพบท่านศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) และเขาทั้งสองได้กล่าวแก่ท่านศาสดาว่า พวกเราเป็นทูตจากท่าน อักษัม อิบนิ ซอยฟียฺ ซึ่งท่านอยากทราบว่า ท่านคือใคร และท่านเป็นอะไร และท่านได้นำสิ่งใดมา ท่านศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวว่า
فقال النبي صلى الله عليه وسلم : «إن الله يأمر بالعدل والإحسان وإيتاء ذي القربى وينهى عن الفحشاء والمنكر» فأتيا أكثم فقالا: أبى أن يرفع نسبه، فسألنا عن نسبه فوجدناه زاكي النسب واسطاً في مضر، وقد رمى إلينا بكلمات قد حفظناهن فلما سمعهن أكثم قال: أي قوم أراه يأمر بمكارم الأخلاق وينهى عن ملائمها فكونوا في هذا الأمر رؤساً ولا تكونوا فيه أذناباً، كونوا فيه أوَّلاً ولا تكونوا فيه آخراً، فلم يلبث أن حضرته الوفاة فقال: أوصيكم بتقوى الله وصلة الرحم فإنه لا يبلى عليهما أصل. انظر: الاستيعاب (1/146) الإصابة (1/211)
“แท้จริง อัลลอฮฺได้ทรงใช้ให้รักษาความเที่ยงธรรม และกระทำความดี และการบริจาคแก่ญาติใกล้ชิด และห้ามจากการกระทำบาป และจากการกระทำในสิ่งชั่วช้า และการละเมิด” เขาทั้งสองจึงได้กลับมาหา อักษัม และกล่าวว่า “เขา (ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม)) ได้ปฏิเสธในการที่จะยกตระกูลของเขา (โอ้อวดวงศ์ตระกูล) และเราได้ถามเขาเกี่ยวกับเชื้อสายของเขา เราจึงรู้ว่า เขามีเชื้อสายที่ดี และมีเกียรติ และท่านได้กล่าวกับเราซึ่งคำพูดหนึ่ง ซึ่งเราได้ท่องจำมัน” และเมื่อ อักษัม ได้ยินคำเหล่านั้น เขาจึงได้กล่าวว่า “กลุ่มชนใดที่ฉันได้เห็นว่า เขาได้สั่งใช้ให้มีมรรยาทที่ดีงาม และห้ามจากการกระทำสิ่งที่น่าตำหนิ พวกท่านจงเป็นหัว (รีบเร่งไปสู่การยอมรับ) ในการงานนี้ และจงอย่าเป็นหาง (เป็นกลุ่มสุดท้ายที่ยอมรับ) และพวกท่านจงเป็นพวกแรก (ที่ศรัทธา) จงอย่าเป็นพวกสุดท้าย” และต่อมาอีกไม่นานนัก ความตายก็ได้มาเยือน ท่านอักษัม ซึ่งท่านได้กล่าวว่า “ฉันขอสั่งเสียพวกท่าน ให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ และทำดีต่อเครือญาติ เพราะแท้จริงพื้นฐานใดที่วางอยู่บนสองสิ่งนี้จะไม่เสื่อมสลาย”
และอัลลอฮฺได้ทรงเปลี่ยน ท่านอักษัม บิน ซอยฟียฺ จากความห่างไกลของการปฏิเสธ เป็นความสูงส่งของการศรัทธา เมื่อท่านได้รับทราบถึง ความประเสริฐของอิสลามด้านหนึ่งจากหลาย ๆ ด้าน แล้วจะเป็นเช่นไรหากท่านได้รับรู้ถึงความประเสริฐด้านอื่น ๆ ของอิสลามที่ซึ่งได้ถูกประทานมาหลังจากที่ท่านอักษัมได้เสียชีวิตไปแล้ว
และไม่เป็นที่เคลือบแคลงเลยว่า แท้จริงกิจการต่าง ๆ เป็นดังที่นักวิชาการท่านหนึ่งได้กล่าวว่า “ใช่แต่เพียงมุสลิมในวันนี้เท่านั้น ที่ต้องการอิสลาม แต่ทว่าโลกทั้งใบนี้ ต่างมีความต้องการอย่างยิ่งยวด ต่อการอธิบายศาสนาของอัลลอฮฺ เปิดเผยให้เห็นถึงความงดงาม และความเป็นจริงของอิสลาม ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ หากคนในปัจจุบันได้รู้ หรือโลกใบนี้ได้รับรู้ถึงความเป็นจริงของอิสลามแล้ว พวกเขาเหล่านั้นต่างต้องทยอยเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม”
และมีอีกสิ่งที่ควรกล่าวไว้ ณ ที่นี้ คือ ความประเสริฐของอิสลามนั้น ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถคิดคำนวณ หรือนับมันได้ทั้งหมด เนื่องจากความประเสริฐ และความสมบูรณ์ของอิสลามนั้น มีอยู่ในทุกคำสั่งใช้ และทุกคำสั่งห้าม ด้วยความละเอียดอ่อน และสูงส่งในทุกความหมาย และทุกโครงสร้างของอิสลาม และหากมีผู้ใดต้องการจะกล่าวถึงความประเสริฐของเตาฮีด หรือความประเสริฐของการละหมาดเพียงอย่างเดียว เขาจำจะต้องเขียนเป็นหนังสือ และแต่งเป็นตำรามากมาย
จุดประสงค์ในการเขียนหนังสือเล่มนี้ จึงไม่ใช่ครอบคลุมความประเสริฐของอิสลามทั้งหมด แต่เป็นเพียงข้อสรุปบางประการ และเป็นข้อบ่งชี้ถึงความประเสริฐอื่น ๆ อีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ และผู้ที่ได้รับทางนำ คือผู้ที่อัลลอฮฺทรงนำทางเขา และผู้ที่หลงผิด คือผู้ที่หัวใจของเขาคับแคบจากสัจธรรม ถึงแม้ว่ามลาอิกะฮฺจะมายังเขา หรือคนที่ตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาพูดกับเขา เขาก็จะไม่ได้รับทางนำ เว้นแต่ด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮฺ มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ผู้ซึ่งได้นำทางเรา สู่ศาสนาของพระองค์ และเราจะไม่ได้รับทางนำ หากอัลลอฮฺไม่ทรงนำทางเรา แน่แท้บรรดาศาสนทูตของพระผู้อภิบาลของเรา ได้นำสัจธรรมมาสู่เราแล้ว และขออัลลอฮฺทรงประสาทพรแด่ ท่านศาสดามุฮัมมัดของเรา วงศ์วาน และบรรดาสาวกของท่าน